หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

กิ้งก่ากายสิทธิ์ (ผจญภัย)

"กิ้งก่ากายสิทธิ์ 2528"

นักแสดง       กิ้งก่าแผงคอ (Chlamydosaurus kingii)   เด๋อ ดอกสะเดาเหี่ยวฟ้าสีเทาล้อต๊อกลักษณ์ อภิชาติ
ผู้กำกับ         สมโพธิ แสงเดือนฉาย                 
ความยาว      104 นาที
เรท               ทั่วไป
ผู้สร้าง          ไชโยภาพยนตร์
ประเภท         แฟนตาซี ตลก ผจญภัย
อยากให้ดู      4/10

เรื่องย่อ
     มีมนุษย์ต่างดาว จากดาวกลางหาว บุกมายังโลก ณ ประเทศไทยเพื่อตามหาเพชรเม็ดใหญ่นำไปสร้างอาวุธ ที่มีแผนการยึดครองโลก เพชรนั้นมีกิ้งก่ายักษ์คอยเฝ้าอยู่ จึงเป็นหน้าที่ของเจ้ากิ้งก่ายักษ์ที่จะต้องตามเพชรกลับคืนมา แต่จะตามไปยังไงล่ะ เมื่อมนุษย์ต่างดาว มันขับยานบินหนีออกไปนอกโลกซะแล้ว จึงไปวานพี่ยักษ์วัดแจ้งให้ช่วยตามเจ้า มนุษย์ต่างดาว พี่ยักษ์จึงต้องเหาะไปยังอวกาศ ที่ดาวกลางหาว เพื่อตามเพชรคืนมา ระหว่างนั้นก็ได้เวลาของเจ้ากิ้งก่ายักษ์ผจญภัย....

บ่นไป ดูไป
     ก่อนดูเรื่องนี้ก็ต้อง พยายมลดอายุตัวเองจนไปอยู่ในสมัยที่หนังฉาย เพื่อความสนุกที่จะได้รับเต็มที่ ไม่นำมาเปรียบเทียบกับหนังสมัยนี้ ที่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างสัตว์ประหลาด แต่เรื่องนี้เป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุ ต่่าง ๆ ทั้งชุด กิ้งก่า ยุงยักษ์ จรเข้ตัวเขื่อง ก็ดูตื่นตาตื่นใจ (หลังจากลดอายุตัวเองแล้ว) ที่ดูเหมือนมาก และคงจะน่ากลัวด้วยสำหรับเด็ก ๆ หนังเรื่องนี้เอาใจเด็ก ๆ จริง อย่างตอนต้นเรื่องก็จะเห็น มนุษย์ต่างดาว ที่มาขโมยเพชรของเจ้ากิ้งก่า ดูไปก็คล้ายตัวโกงในหนังมนุษย์แปลงร่างเรื่องใดเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่นเลย จริง ๆ แล้วก็ใช่นั่นแหละมันมาจากเรื่อง จัมโบ้เอ ก็ผู้สร้างเขามีสัมพันธ์อันดีกับหนังแปลงร่างของญี่ปุ่น มาตั้งแต่เรื่องอุลตร้าแมน พอหันมาสร้างหนังในประเทศของตัวเองก็ลืมไม่ได้ทีจะเอามาปรากฏตัว 
     การผจญภัยของเจ้ากิ้งก่า ไปในทีต่าง ๆ สร้างความสนุกสนานได้ตลอดทั้งเรื่อง (อย่าลืมเรื่องลดอายุล่ะ...) ที่ไปเจอสิงห์ สา รา สัตว์ อีกทั้งยังต้องเจอผู้คน ตามทางที่เห็นมันแล้ว ต่างต้องการตัวมันเพราะเห็นว่ามันแปลกดี (ถ้าเอาไปโชว์งานวัดคงจะเก็บเงินได้มากโข)  
     ความตลกที่หวังจะได้จากนักแสดงตลก (ที่ออกมาตอนครึ่งหลัง) อย่าง เด๋อ เหียวฟ้า สีเทา และ ล้อต๊อก นั้น ดูจะน้อย (แน่ละสิ ก็ตัวเอกเป็นกิ้งก่า) เด๋อกับเหี่่ยวฟ้า สวมบทเป็นนักล่าสมบัติ ที่ดันมาตายเพราะยุงยักษ์กัดเกือบจะได้ทองไปแล้วเชียว(อันนี้ก็ไม่รู้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องยังไง) ออกมาแสดงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น แต่ก็พอทำให้ขำได้ แต่อิจฉาล้อต๊อก กับบทเศรษฐีชีกอได้แสดงคู่กับสาว ๆ แบบถูกเนื้อต้องตัว แต่ก็ออกมาสั้น ๆ ที่ได้ช่วยชีวิตเจ้ากิ้งก่าไว้ หลังจากที่ต้องหนีทั้งคน และจรเข้ยักษ์ 
     การผจญภัยไปในที่ต่าง ๆ ของเจ้ากิ้งก่าเข้าใจว่า เป็นการโฆษณาให้มาท่องเทียวในประเทศไทย ทั้งวัดอรุณ ที่เจ้ากิ้งก่าเฝ้าเพชรอยู่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่มากับเพลงประกอบ "เมด อิน ไทยแลนด์" ของวงคาราบาว

ได้อะไรจากหนัง
     ท่องเที่ยวไปกับเจ้ากิ้งก่า ทุกที่ที่มันไปก็สร้างความตลก ขำ ๆ ไปด้วย คงไม่มีให้หรอกถ้าจะมาหาสาระในหนังเรื่องนี้ แต่้ถ้าใช้ความพยายามหน่อยอาจเจอก็ได้นะ 
     อ้อลืมไป เจ้ากิ้งก่ายักษ์ตัวนี้ มีอยู่จริงด้วยนะ มันอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย มันสามารถวิ่งได้ด้วย 2 เท้าหลังระหว่างนั้นมันจะแผ่แผงคอไปด้วย ไม่รู้ผู้สร้างนึกยังงัยไปเอาเจ้าตัวนี้มา ถ้าจะโฆษณาประเทศไทย ทำไมต้องเอาสัตว์ต่างประเทศมาด้วยไม่รู้เหมือนกัน

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

MONEY TRAIN:คู่เดือด ด่วนนรก

"MONEY TRAIN 1995"
นักแสดง     Wesley SnipesWoody Harrelson ,Jennifer Lopez and   Chris Cooper
ผู้กำกับ        Joseph Ruben                 
ความยาว    103 นาที
เรท               R
ผู้สร้าง         Columbia Pictures
ประเภท       แอ๊คชั่น คอมมาดี้
อยากให้ดู   7/10

เรื่องย่อ      
สองพี่น้อง(ผิวต่างสี)นายตำรวจ จอห์น(สไนป์) และ ชาร์ลี(ฮาร์เรสัน) มีหน้าที่ในการดูแลคดี ปล้นจี้ ชิงทรัพย์ ประชาชนที่มาใช้บริการในสถานีรถไฟใต้ดิน โดยการปลอมตัว เพื่อล่อ ผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ทุก ๆ วันก็สังเกตการณ์ จนเกิดการ จี้ ชาร์ลี มีนิสัยชอบเล่นการพนัน จนไปติดหนี้มาเฟียเข้า จนไม่มีเงินมาใช้หนี้ จึงคิดปล้นขบวนรถไฟขนเงิน จากคำขู่ของมาเฟีย ที่จะทำร้ายพีชาย จอห์น ของเขา แผนการปล้นรถไฟขนเงิน จึงเริ่มขึ้น...

บ่นไป ดูไป
     หนังเริ่มเรื่องก็บอกให้รู้เลยว่าพระเอกของเรื่องมีอาชีพตำรวจตามจับผู้ร้าย(ก็แน่ล่ะสิ) แบบไม่ใช่คอยรับวิทยุแล้วค่อยออกไปจับนะ แต่คอยแฝงตัวอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดิน คอยดูแลไม่ให้ประชาชนโดนจี้ โดนปล้น(มันคงมีบ่อยจนต้องให้ตำรวจไปเฝ้าทั้งวัน) คอยส่องกล้องดูเหตุการณ์บ้าง แกล้งเป็นคนเมาล่อโจรให้มาปล้นบ้าง
     เห็นนักแสดงที่แสดงในเรื่องก็พอจะนึกออกว่าจะต้องเป็นหนังแนวไหนบ้าง เห็น เวสลี่ย์ สไนป์ ต้องแอ็คชั่น เห็น วู้ดดี้ ฮาร์เรสัน ต้องมีตลก (บ้างแหละน่า แต่คงไม่ถึงกับขำหัวทิ่ม) เห็น เจนิเฟอร์ โลเปซ ต้องมีรัก ๆ ใคร่ ๆ (มันแน่อยู่แล้ว) ส่วนจะเห็นใครแล้วจะนึกว่าเป็นโจร ดูไปเรื่อย เดี๋ยวก็เห็นเอง(อ้าว...)
     ระหว่างดำเนินเรื่องไป ก็จะเห็นความสัมพันธ์ของพี่น้องผิวต่างสีคู่นี้ ในช่วงแรก ก็จะเห็นบุคลิก นิสัยใจคอของเขาทั้งสอง จอห์น (สไนป์) ผู้พี่ที่ต้องคอยดูแลน้อง ตามล้าง(หนี้)ตามเช็ด(...) ให้น้องชาย ชาร์ล (ฮาร์เรสัน) ที่มีนิสัยชอบเล่นการพนัน แล้วติดหนี้มาเฟีย ฉากที่ตลกก็คือ ตอน ชาร์ล เสียพนันแล้วไม่มีจ่าย มาเฟียก็เลยจับห้อยหัวตรงระเบียงตึก ถ้าไม่มีใครมาจ่ายหนี้ให้ ตอนแรกก็ชื่นใจ จอห์นมาช่วยต่อรองให้ (ดีจริงมีพี่ชายแบบนี้) แต่พอรู้ว่าไอ้น้องตัวแสบติดหนี้ อยู่ 3 แสน เลยพูดกับมาเฟียทีเล่่นทีจริงไปว่า "งั้น โยนมันลงไปเลย" ไม่รู้ว่าเป็นมุขตลก แกล้งให้น้องใจเสีย หรือพูดจริงกันแน่ สุดท้าย จอห์น พี่ชายก็ต่อรองกับมาเฟียวันหลังค่อยมาจ่าย เพราะตอนนี้ มีอยู่ 300  มาเฟียนี่ก็ใจดีเหมือนกัน ยอมอีกแฮะ ชาร์ล ก็รอดมาได้ นิสัยอีกอย่างที่จะคู่มากับการพนันคือ ชอบโกหก ชาร์ล จึงชอบมาโกหกเรื่องเงินกับ จอห์น อยู่บ่อย ๆ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ให้อยู่ดี
     แล้วก็มีสิ่งที่มาแทรกความสัมพันธ์ของพี่น้องคือ ผู้หญิง (มันขาดไม่ได้จริง ๆ) เกรซ (เจนิเฟอร์ โลเปซ) ตำรวจหญิงเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ ตอนแรกพี่ชายก็ดูจะเลี่ยง ๆ เพื่อให้น้องชาย แต่สุดท้ายฝ่ายหญิงก็เลือกคนพี่ (ไม่รู้น่าชอบตรงไหน แบบว่าเห็นครั้งแรกก็ชอบเลย) จอห์น ก็ดูจะงง ๆ เกรซ กลับสนใจตัวเอง เลยถามกลับไปแบบ งง ๆ ว่า "ผมน็อก คุณเหรอ" ระหว่างซ้อมมวยในยิม แก้เครียด ที่เืมื่อคืนฝ่ายหญิง อยู่กับน้องชายเมื่อคืน จากการบอกของ ชาร์ล น้องชาย  "ผมน็อก คุณเหรอ" นี่ก็เป็นฉากรัก ๆ ฉากหนึ่งที่แทรกเข้ามา
     บทผู้ร้าย(ประกอบ)ในเรื่องนี้ตกไปอยู่ในมือของ คริส คูเปอร์ น่าจะเป็นเรื่องแรกที่ผมเห็นว่าเขาแสดงในบทผู้ร้ายนะ ส่วนใหญ่ที่เห็น ไม่เป็นตัวสมทบ แนวที่ปรึกษาฝ่ายพระเอก ก็ฝ่ายผู้ร้าย แต่เรื่องนี้รับบทผู้ร้าย แต่เพียงผู้เดียว(คือไม่มีลูกกะจ๊อก) ตอนแรกที่เห็นก็นึกว่าเป็นพวกโรคจิตบ้ากาม แนวนั้น น้ำเสียงเวลาพูดก็ออกจะหื่น ๆ เวลาปล้นจะมีอาวุธก็คือ ท่อยาง เอาไปไว้ฉีด น้ำมัน ขู่พนักงานขายตั๋ว เพื่อปล้นเงิน (ก็ใช่น่ะสิ จะให้ปล้นตั๋วเรอะ...ไม่ม้างงง) แต่แล้วก็ตายเร็วแค่ครึ่งเรื่อง กลายเป็นผู้ร้าย ประกอบเรื่องซะงั้น
     เมื่อ ชาร์ล วางแผนปล้นรถไฟขนเงินซะเองทั้งที่เป็นตำรวจ เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้มาเฟีย ก่อนปล้นก็ยังส่งของขวัญบอกไปให้ จอห์น อีกนะ จะไม่รู้ได้ไง ก็ส่งรถไฟโมเดลไปให้ ใครจะไม่รู้ล่ะ อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาก็เคยคุยกันเล่น ๆ ว่าจะปล้นรถไฟขนเงิน แต่ โดน จอห์น เบรกไว้ซะก่อน คราวนี้เอาจริง เพราะมาเฟียขู่จะเอาชีวิต พี่ชายของเขา ก็เป็นพี่ชายเขานั่นแหละ ที่จะหยุดการปล้นครั้งนี้ ...ความมันส์ของเรื่องก็จะเริ่มจากตรงนี้แหละ...
     อย่างที่บอกเห็น เวสลี่ย์ สไนป์ จะต้องมีแอ๊คชั่น แม้จะมีบ้างประปราย แต่ก็แสดงให้รู้ว่าเป็นแอ๊คชั่น(ก็มันแน่อยู่แล้ว มันเป็นหนังแอ๊คชั่นนี่นา)  อย่างตามไปต่อยมาเฟีย เมื่อรู้ว่าไปขู่น้องสุดที่รัก ขับมอไซค์ฝ่าฝูงชน ลงบันไดรถไฟใต้ดิน การแก้ปัญหาระหว่างอยู่บนรถไฟที่เบรกแตก แถมยังมีรถไฟอีกคันจะชนกัน จากคำสั่งของหัวหน้าที่ดูแลรถไฟขนเงิน ความตื่นเต้นแม้จะมีเวลาแค่ช่วงสั้น ๆ ตอนท้ายเืรื่อง แต่ก็ทดแทนกันได้ จากการดำเนินเรื่องที่ไม่ยืดเยื้อ และมีบทสนทนา ที่ไม่น่าเบื่อ และแทรกมุขตลกสนทนา บทบาทที่แสดงถึงความห่ามของตำรวจคู่หู ดูสนุกแม้จะเป็นหนังเก่าแล้ว ดูจบก็นึกถึงหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ใช้นักแสดงเป็นคู่หูกัน ที่ชอบสร้างความวอดวาย ปวดเศียรเวียนเกล้า ให้กับผู้บังคับบัญชา เรื่องอื่น ๆ อย่าง BAD BOY คู่หูขวางนรก  
     ตอนจบของเรื่องก็ดูจะหักมุมนิดหน่อย (นิดหน่อยจริง ๆ นะ) ก็สะใจคนดูถ้าผมรับบทเป็นตำรวจ 2 คนนั้น ก็คงจะทำเหมือนกัน (แต่อย่าเอาอย่างล่ะ)

ได้อะไรจากหนัง
     ก็รักพี่รักน้องไง ดูแลกันและกันจะไปรักใครถ้าไม่ใช่พี่น้องของเรา แม้เขาจะผิดอย่างไรแต่เป็นพี่่น้องเรานี่ แม้มันจะดูแย้งกับสายตาคนอื่นก็เถอะ พี่น้องกันพร้อมที่จะให้อภัยกันเสมอ แต่เป็นน้องนี่สบายจริง ๆ เนอะ 
     อย่าไปเล่นเลยการพนันน่ะ ยิ่งไปเล่นกะไอ้พวกมาเฟียนี่ อาจเสียชีวิตได้เลย(จะบอกให้) ต้องปวดหัว หาปล้นรถไฟขนเงิน อีก บ้านเราก็ไม่มีซะด้วยสิ (ก็ในหนังมันบอกวิธีปล้นนี่ แถมยังมีที่หนีให้อีก จะไปเสียเวลาคิดหาวิธีอื่นทำไมล่ะ)

เหตุที่ต้องมาเขียน "BLOG"

"ทับทิมโทน ปี 2528"
 เท่าที่ผมจำความได้ว่าหนังเรื่องแรกที่ได้ดูในโรง(ภาพยนต์)คือเืืรื่อง "ทับทิมโทน" ตอนอายุประมาณ 3-4 ขวบนี่แหละ  แต่ใช่ว่าจะจำรายละเอียดของหนัง หรือจะมาบอกเล่าความทรงจำของการดูหนังของช่วงอายุนั้นให้อ่านกันหรอกนะครับ ใครจำได้ก็บ้าแล้ว ที่จำได้ก็แค่ฉากสำคัญของหนังตอนพระเอกเหาะโดยใช้เครื่องไอพ่น กับการกระโดดร่มที่สวยงาม แค่นั้นแหละครับ ส่วนเนื้อเรืองย่อ การดำเนินเรื่อง ตอนจบพระเอกตายไหม ตำรวจมาตอนจบหรือเปล่า ก็คงจะพอเดากันได้  และนั่นคือจุดเริ่มต้นการดูหนังของผม
     ผมก็เป็นคนหนึ่่่งทีชอบดูหนัง ทั้งไทยและเทศ  ก็จะเลือกหนังที่เป็นกระแส อย่างหนังวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่วงวัยเรียน เมื่อสมัย 10 กว่าปีที่แล้ว หนังเทศยังไม่ค่อยรู้จักหรอก ถ้าไม่ดังจริงเทียบได้ก็ประมาณ คนเหล็ก 2029:THE TERMINATOR JUDEMENT DAY เรื่องนี้เขาดังจริง แต่ภาคแรกไ่ม่รู้จักหรอก เป็น วีดีโอคลาสเซ็ต เช่าบ้าง เพื่อนเช่ามาแล้วยืมต่อบ้าง ดูทุกเรื่องที่ดูได้ นักสะดง นักแสดงไม่รู้จักเล้ยย    ...แต่ก็เป็นของแท้นะ ไม่มี วีดีโอผี แต่นาน น้านน จะมีโอกาสได้ดู 
     สมัยนั้นโอกาสที่จะได้ดูหนังนั้น มี 2 อย่าง คือ ดูกับเครื่องเล่นวีดีโอ (ก็ไม่ใช่ของตัวเองอีก) หรือไม่ก็ หนังกลางแปลง อันหลังนี่ได้ดูบ่อย เพราะอยู่บ้านนอก มีมโหรสพบ่อย งานประจำปีบ้าง งานปีใหม่บ้าง ลอยกระทงบ้าง มีงานอะไรก็ว่าไป... ทีขาดไม่ได้ในงานคือ หนังกลางแปลงเก็บค่า 10-20 บาท งานนึงก็ประมาณ 2 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน ส่วนใหญ่จะเป็นหนังจีนกำลังภายใน หนังจีนร่วมสมัย (หนังตระกูลผีกัด กับวิ่งสูฟัด)ซึ่งในยุค 80 นั้น หนังพวกนี้ครองใจคนไทย โดยเฉพาะเด็กบ้านนอกอย่างผม แล้วก็หนังไทยบู๊ระเบิดภูเขาเผา กระท่อม (ของเฮีย พันนา ฤทธิไกร) ผมว่าหนังที่เขาแสดงน่าจะเกินร้อยนะ อยากบอกคนที่ไม่เคยดูเขาแสดง ว่า มันส์มากครับสมแล้ว ที่เป็นครูของ จา พนม ช่วงนี้ก็ดูเอามันอย่างเดียว ซึ่งน้อยนักที่จะได้ดูซ้ำเรื่องเลยไม่ค่อยเจอพวก นักพากษ์ไม่ได้รับเชิญ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ดูเลยตื่นเต้น ว่าจะได้ดูเรื่องอะไร ผีในเรื่องมันจะกระโดดแตกแถว ตามซินแส หรือเปล่า พระเอกในเรื่องมันจะโดนไม้หน้าสามฟาดกี่ที จะมีฉากมอ"ไซค์ ผาดโผนหรือเปล่า หากคนเอาหนังมาฉายไม่มีแผ่นปิดหนัง ติดอยู่หน้าทางเข้าเก็บตั๋ว นั่นคืออารมณ์ดูหนังกลางแปลง ดีกว่าดูจากวีดีโอคลาสเซ็ตอีก
    พอเริ่มโตขึ้น โลกกว้างขึ้น พบเจอเพื่อนหลากหลายขึ้น ผมก็มีโอกาสได้ดูหนังเทศเยอะขึ้นจากเพื่อนที่รู้จักเพิ่มขึ้นคือเรื่องนั้นก็คือ MISSION IMPOSSIBLE ภาคแรกที่นำโดย ทอม ครูส หลังจากนั้นก็ได้ดุูมาเรื่อย ๆ รู้จักดาราฮอลลีวูดเยอะขึ้น ก็เลือกดูที่ดัง ๆ ตามกระแสเหมือนเดิม เช่าซะเป็นส่วนใหญ่
    เมื่อเริ่มยุคของ วีดีโอซีดี ความคิดในการดูก็เริ่มเปลี่ยนไป เลือกเช่าหนังที่มีความยาวมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ความยาวหนังจะอยู่ที่ 90-100 นาที ก็เลือกที่มีความยาว 120 นาทีมาดู เพราะรู้สึกว่าหนังความยาวระดับนี้ทำให้เราเริ่มดูหนังมากกว่าความสนุก หรือความมันส์ คือมันได้ศึกษาความรู้สึกตัวละคร ทำไมตัวละครถึงได้ทำแบบนั้น ฉากนั้นต้องการบอกอะไรคนดู ได้เจอเรื่องแปลกมากมาย บางเรื่องตัวละครพูดถึงหนังอีกเรื่อง ก็ทำให้อยากเอาเรื่องนั้นมาดู ว่าทำไมตัวละครถึงได้พูดถึงเรื่องนั้น ดูอีกเรื่องก็ทำให้อยากดูอีกเรื่องที่ถูกอ้างอิง
     พอดูมากขึ้นก็เริ่มอิน เริ่มหาหนังสือมาอ่านจำพวก ENTERTAINMENT หนังสือพวกนี้จะมีการบอกรายละเอียดของหนังที่จะเข้าฉาย และขาดไม่ได้ในคำวิจารณ์ก็จะนำไปเปรียบเทียบกับหนังเก่า ๆ กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ต้องสรรหามาดู
     จนเรียนจบและเริ่มทำงานก็ไม่ค่่อยมีโอกาสได้ดูซักเท่าไร จนออกจากงานแล้วได้งานใหม่มาอยู่ร้านเช่าหนัง จึงได้มีโอกาสดูหนังอีกครั้ง จนเจ้าของเก่าเขาเซ้ง และได้เป็นเจ้าของเอง คราวนี้ก็ดูกันให้เบื่อตายกันไปข้างนึงเลย คราวนี้เลือกไม่ถูกเลยจะดูเรื่องอะไร มีเวลาอยู่กับหนังทั้งวันจน เกือบ 3 ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าดูเปล่า ๆ ดูไปวันอย่างนี้ไปเรื่อยคงจะไร้ประโยชน์ นอกจากจะเอาบอกลูกค้าที่มาเช่าแล้ว ก็คงจะแค่ภูมิใจอยู่คนเดียวที่ได้ดูหนังมากกว่าคนอื่น 
     อย่ากระนั้นเลย ดูหนังแล้วมาเขียนบล็อก บอกความรู้สึกกับหนังเรื่องที่ดูดีกว่า เก็บเอาไว้คนเดียวว่าเรื่องนี้เป็นอย่่างไร ทัศนะของตัวเองเป็นอย่างไรหลังจากที่ได้ดู
     นี่แหละที่ไปที่มาเขียนบทความนี้